วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

การเสพติดอินเทอร์เน็ต
ความหมายของ  การเสพติดอินเทอร์เน็ต ลักษณา พลอยเลื่อมแสง (2545) ได้ให้คำนิยามว่า ภาวะการติดอินเทอร์เน็ต คือ ภาวะผิดปกติที่เกิดจากการควบคุมจิตใจไม่ได้ โดยคนที่เสพติดจะมีลักษณะชอบคิดถึงแต่การท่องอินเทอร์เน็ตในครั้งต่อๆ ไปเสมอ รู้สึกกังวลใจเมื่อต้องปิดเครื่อง ใช้เวลามากเกินไปกับ การเล่นอินเทอร์เน็ต และมักพูดโกหกเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ต การเสพติดอินเทอร์เน็ตของชุมชนชาวออนไลน์ Internet Addiction of Online Community อรวรรณ วงศ์แก้วโพธิ์ทอง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 40 Executive Journal รัศมีสาโรจน์ (2547) กล่าวว่า การเสพติดอินเทอร์เน็ต คือการใช้อินเทอร์เน็ตในปริมาณที่เกินขนาดจนไม่สามารถควบคุม เวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตได้และอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเวลา สำหรับกิจกรรมจำ เป็นอื่นๆ ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน และชีวิตครอบครัว นอกจากนั้น Young (1996) นักจิตวิทยาจากคณะ แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพิทส์เบิร์ก ได้ศึกษาลักษณะของการ เสพติดอินเทอร์เน็ต และพบว่าการเสพติดอินเทอร์เน็ตมีลักษณะ พื้นฐานเหมือนกับการติดการพนันและได้มีการพัฒนาคำ ถามเพื่อ ใช้วัดพฤติกรรมการเสพอินเทอร์เน็ต หากบุคคลใดที่ตอบว่า “ใช่” 5 ข้อขึ้นไปจะถูกจัดว่าเข้าข่ายมีพฤติกรรมการเสพติดอินเทอร์เน็ต โดยมีข้อคำ ถามดังนี้ 1. รู้สึกถูกครอบงำ โดยอินเทอร์เน็ตหรือไม่(มีการคิดคำนึง ถึงเรื่องที่ผ่านมาในกิจกรรมในอินเทอร์เน็ตและคาดการณ์สิ่งที่จะ เกิดขึ้นต่อไปในอินเทอร์เน็ต) 2. รู้สึกต้องการใช้อินเทอร์เน็ตในเวลามากขึ้น เพื่อตอบ สนองความพอใจหรือไม่ 3. ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมการใช้หรือหยุดการใช้ อินเทอร์เน็ตได้บ่อยครั้งหรือไม่ 4. รู้สึกหมดหวัง โมโห โกรธ รู้สึกกดดัน กระสับกระส่าย เมื่อต้องหยุดใช้อินเทอร์เน็ตหรือไม่ 5. ใช้เวลาในอินเทอร์เน็ตมากกว่าที่ตั้งใจเอาไว้หรือไม่ 6. สูญเสียความสัมพันธ์ทางสังคม หน้าที่การงาน การ เรียน หรือโอกาสต่างๆ เพราะการใช้อินเทอร์เน็ตหรือไม่ 7. โกหกหรือปกปิดครอบครัว เพื่อนหรือบุคคลรอบข้าง เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตหรือไม่ 8. ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นหนทางหลีกหนีจากปัญหา หรือ บรรเทาผ่อนคลาย อารมณ์ความรู้สึกกดดัน หมดหวังหรือไม่ จึงอาจกล่าวได้ว่า การเสพติดอินเทอร์เน็ตเป็นพฤติกรรม ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีการจัดระเบียบความคิดและการควบคุมความ ต้องการตนเองผิดพลาด จนทำ ให้ไม่สามารถควบคุมตนเองให้ใช้ อินเทอร์เน็ตได้อย่างเหมาะสมจนอินเทอร์เน็ตเข้าไปแทรกแซงกิจ กรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำ วันมากเกินไป ซึ่งจะพบมากในกลุ่ม เยาวชนและคนวัยรุ่นที่กำ ลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น การเสพติด อินเทอร์เน็ตจะมีอาการคล้ายกับคนติดยาเสพติด คือมีการอยาก ยา มีความโหยหา ต้องการบ่อยๆ เมื่อว่างจะต้องหาโอกาสเข้าใช้ อินเทอร์เน็ต ถึงแม้บางครั้งจะไม่มีจุดมุ่งหมายในการใช้งานที่ ชัดเจน โดยรูปแบบการเสพติดอินเทอร์เน็ตนั้นอาจมีหลายรูปแบบ เช่นการติดเว็บโป๊การติดเกมออนไลน์ การติดการพนันออนไลน์ การติดเครือข่ายสังคม และการติดเว็บซื้อขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดและ กำ ลังประสบปัญหาเด็กเสพติดอินเทอร์เน็ตอย่างหนัก โดยปีค.ศ. 2009 มีเยาวชนและวัยรุ่นเสพติดอินเทอร์เน็ตคิดเป็นร้อยละ14.1 หรือประมาณ 24 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีค.ศ. 2007 ถึงร้อยละ4.4 โดยผู้ที่มีอายุ18-23ปีเป็นกลุ่มที่เสพติดอินเทอร์เน็ตมากที่สุดร้อย ละ15.6 ส่วนผู้ที่มีอายุ6-12 ปีเป็นกลุ่มที่เสพติดอินเทอร์เน็ตร้อย ละ 8.8 สำหรับกิจกรรมที่ทำ ให้เยาวชนและวัยรุ่นชาวจีนเสพติด อินเทอร์เน็ตอันดับแรก คือ การเล่นเกมออนไลน์คิดเป็นร้อยละ 47.9 อันดับสอง คือ การชมการ์ตูน ภาพยนตร์และดาวน์โหลด เพลงออนไลน์คิดเป็นร้อยละ23.2 และอันดับสามคือ การสนทนา ผ่านอินเทอร์เน็ตและการ เสพติดFacebook มากกว่าการเสพติดอินเทอร์เน็ตประเภทอื่นๆ ซึ่งภาวะการเสพติดFacebook ถือเป็นอาการหนึ่งของการเสพติด อินเทอร์เน็ตเช่นกัน นักประสาทวิทยาหลายท่านของสหรัฐอเมริกา กล่าวไว้ว่า การเล่นFacebookทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นมีความ สุข เหมือนกับเวลาพบเพื่อนสนิทในชีวิตจริง โดยผู้ที่เสพติด Facebookส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอาการของโรคสมาธิสั้นมีพฤติกรรม หวาดกลัวไม ่ชอบเข้าสังคม และมีอาการซึมเศร้า โดยบริษัท OxygenMediaandLightspeedResearch ได้สำรวจพฤติกรรม การใช้Facebookของผู้หญิงอายุ18-34ปีในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน1,605คนระหว่างเดือนพฤษภาคม- เดือนมิถุนายนพ.ศ. 2553 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้ชีวิตประจำวันผูกพัน กับ Facebook อย่างมาก โดย 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบว่า สิ่งแรกที่ทำหลังจากตื่นนอนคือ การเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อ ดูความเคลื่อนไหวในFacebookก่อนแล้วจึงค่อยแปรงฟันทำธุระ ส่วนตัวในห้องนำ ้ นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ39 ยอมรับ ว่าตนเองเสพติดการเล่น Facebook แล้ว และจากรายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ประเทศ สหรัฐอเมริกา ซึ่งทดสอบนักศึกษาจำ นวน 200 คนที่เสพติด โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต โดยให้หยุดใช้โทรศัพท์มือถือและ อินเทอร์เน็ต24ชั่วโมงพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีอาการกระวนกระวาย ใจจนทำ ให้ไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำ งานต่างๆ เพราะต้องการ ที่จะใช้สื่อดังกล่าวในการส่งข้อความ อ่านอีเมล์สนทนาออนไลน์ และเข้าสู่เครือข่ายสังคมFacebookนอกจากนี้ยังให้กลุ่มตัวอย่าง เขียนความในใจเกี่ยวกับการไม่ได้เข้าสู่โลกออนไลน์พบว่า กลุ่ม ตัวอย่างจำนวนมากได้เปรียบเทียบการไม่ได้ออนไลน์ว่าเหมือนกับ การไปเที่ยวตามลำ พังโดยไม่มีแฟนหรือครอบครัวไปเที่ยวด้วย สำ หรับประเทศไทย เด็กและเยาวชนจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการ เล่นเกมบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งพบว่าเด็กไทยมีสถิติการเสพติดเกม แล้วกว่าร้อยละ 13.3 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยใช้ เวลาในการเล่นเกมมากกว่า1 ชั่วโมงต่อวันซึ่งรวิกรานต์นันทเวช (2550) ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเสพติดอินเทอร์เน็ต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายพบว่านักเรียนมีพฤติกรรม การเสพติดอินเทอร์เน็ตในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ43.27 ซึ่งถือว่า เป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง ผลกระทบของการเสพติดอินเทอร์เน็ต การเสพติดอินเทอร์เน็ตส่งผลกระทบต่อผู้เสพติดในหลาย ด้านอาทิด้านการศึกษาด้านการทำ งานรวมถึงด้านมนุษยสัมพันธ์ กับคนรอบข้าง และด้านการเข้าสังคมทำ ให้กลายเป็นเด็กที่มีสมาธิ สั้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรวมถึงการตัดสินใจกระทำสิ่ง ต่างๆ อย่างผิดพลาดโดยสามารถแบ่งปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเสพ ติดอินเทอร์เน็ตออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. ปัญหาทางการเรียนการใช้เวลาเล่นอินเทอร์เน็ตมากๆ จะทำ ให้นักเรียน นักศึกษา ไม่มีเวลาทำ การบ้าน ศึกษาหาความ รู้ และไม่สนใจการเรียน เพราะจิตใจมัวแต่จดจ่อกับการสนทนา ออนไลน์และการเล่นเกมออนไลน์ 2. ปัญหาด้านความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์กับเพื่อน หรือครอบครัว โดยผู้เสพติดจะไม่สนใจ ครอบครัว ละทิ้งหน้าที่ประจำ วันเพื่อเข้าไปใช้อินเทอร์เน็ต ผู้เสพ ติดจะใช้เวลาน้อยลงกับบุคคลรอบข้างในชีวิต เพื่อที่จะมีเวลา เข้าไปใช้อินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้นการปรับตัวเข้าสังคมคนจริงๆ เริ่ม ถดถอยและอาจหายไปสู่สังคมไซเบอร์ นำ ไปสู่การถูกล่อลวงและ ละเมิดทางเพศ 3. ปัญหาทางด้านการเงิน ผู้เสพติดจะสูญเสียค่าใช้จ่าย เป็นจำ นวนมากไปกับกิจกรรมในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นค่า บริการการใช้อินเทอร์เน็ตที่ต้องเสียที่ร้านอินเทอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ รวมถึงการติดพนันออนไลน์เป็นต้น 4. ปัญหาด้านอาชีพการงาน การเสพติดอินเทอร์เน็ตนั้น ทำ ให้ประสิทธิภาพในการทำ งานลดลง และการพักผ่อนที่ไม่เพียง พอทำ ให้ผู้ใช้ไม่สามารถทำ งานได้อย่างเต็มที่ 5. ปัญหาด้านร่างกาย การใช้อินเทอร์เน็ตที่มากเกินไป ทำ ให้เกิดการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ เกิดปัญหาทางด้านสายตาที่เกิด จากการมองจอคอมพิวเตอร์นานๆ กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง เพราะนั่งในท่าเดิมเป็นระยะเวลานานเกิดอาการเมื่อยล้า เสียความ สมดุลทางอารมณ์เช่น อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ศักยภาพ การสื่อสารทางสัมผัสทางตา หูจมูก ลดลง เป็นต้น มาตรการป้องกันและแก้ไขการเสพติดอินเทอร์เน็ต สำหรับวิธีการป้องกันและแก้ไขทุกภาคส่วนตั้งแต่สถาบัน ครอบครัว สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และภาครัฐบาล ต้อง ร่วมมือกันช่วยแก้ปัญหาการเสพติดอินเทอร์เน็ตของเด็กและ เยาวชนไทย สำหรับสถาบันครอบครัวYen และคณะ(2007)กล่าว ว่า นักจิตวิทยาบางคนแนะนำ ว่าครอบครัวมีส่วนสำ คัญอย่างยิ่งที่ จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกหลานเสพติดอินเทอร์เน็ตพ่อแม่ควรต้องมี การเอาใจใส่หมั่นสอดส่องตรวจสอบควบคุมดูแลมีการจัดตาราง เวลาการใช้อินเทอร์เน็ตเช่นอนุญาตให้ใช้อินเทอร์เน็ตได้หลังจาก ทำการบ้านเสร็จ โดยใช้ได้ไม่เกิน1-2ชั่วโมงหรือตามความเหมาะ สมกับช่วงอายุ (Ko และคณะ, 2007) หากบุตรหลานเล่น คอมพิวเตอร์ดึกๆ ควรสังเกตการใช้งาน ผู้ปกครองต้องรู้เท่าทัน 42 Executive Journal และสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับบุตรหลานได้ สถาบัน ครอบครัวต้องหันมาใส่ใจกันให้มากยิ่งขึ้นหมั่นพูดคุยหากิจ กรรมอื่นๆ ให้บุตรหลานทำ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรีอ่าน หนังสือ เป็นต้นส่วนสถาบันการศึกษาครูอาจารย์มีบทบาท สำ คัญในการสอดส่องดูแล ให้คำ แนะนำ ที่ถูกต้องในการใช้ อินเทอร์เน็ต มีการบล็อกไม่ให้นักเรียน นักศึกษา เข้าใช้ เว็บไซต์ที่อาจส่งผลให้เกิดการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ไม่ถูก ต้อง สำหรับในส่วนของภาครัฐ รัฐบาลควรต้องมีนโยบาย ในการป้องกันและแก้ปัญหาที่ชัดเจน เช่น รัฐบาลเกาหลีมี บริการแจกซอฟต์แวร์ฟรีให้กับผู้ที่ต้องการแก้นิสัยเสพติดเกม และอินเทอร์เน็ต ซึ่งแบ่งซอฟต์แวร์ที่ให้บริการฟรีออกเป็น 2 ประเภท ชนิดแรกเป็นซอฟต์แวร์ตั้งเวลาการปิดอินเทอร์เน็ต ส่วนอีกประเภทจะมุ่งไปที่ผู้เสพติดเกมโดยจะเป็นซอฟต์แวร์ ที่ทำ ให้เกมที่เล่นอยู่ยากขึ้นทำ ให้ผู้เล่นเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อไม่สามารถเอาชนะได้สำ หรับประเทศไทยมีหน่วยงาน ของรัฐที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้เสพติดอินเทอร์เน็ตและเกมคือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสุขภาพจิต และ กระทรวงสาธารณสุข โดยรัฐบาลควรมีนโยบายกวดขันการ ใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กและเยาวชนในร้านอินเทอร์เน็ต โดย อาจกำ หนดเวลาปิดร้านให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะร้านที่มีวัยรุ่น นิยมไปใช้บริการ ส่วนภาคเอกชนควรมีการจัดโครงการที่ส่ง เสริมให้เด็กและเยาวชนใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่สร้างสรรค์มี การนำ เสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความรุนแรงของการเสพ ติดอินเทอร์เน็ตเพื่อให้เด็กและเยาวชนในสังคมสามารถดูแล ตนเองได้ดังนั้นหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันผู้ใช้อินเทอร์เน็ต บนโลกออนไลน์จะหลีกหนีห่างไกลจากการเสพติดอินเทอร์- เน็ตอย่างแน่นอน บทสรุป อินเทอร์เน็ตเปรียบเหมือนกับดาบสองคม หากใช้ไป ในทางที่ถูกต้องเหมาะสมก็จะได้รับประโยชน์จากการใช้ อินเทอร์เน็ตอย่างมากมาย แต่หากใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร อาจเกิดปัญหาและพิษภัยอย่างมหันต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เด็ก เยาวชนและวัยรุ่นที่ยังมีวุฒิภาวะไม่มากพอ ไม่มี ภูมิคุ้มกันที่จะควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตจนทำ ให้เป็นโรคเสพ ติดอินเทอร์เน็ต หากได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครอง และให้ความรู้ที่ถูกต้องในการใช้อินเทอร์เน็ตเด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้คนในสังคมไทยก็จะมีความเข้มแข็งปราศจากโรค เสพติดอินเทอร์เน็ต


โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

คือ เครื่องมือที่มนุษย์ใช้สื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยแต่ละภาษาจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ชัดเจน มีคำศัพท์ที่ใช้จำนวนจำกัด
ระดับของภาษา(Level of Languages)
  1. ภาษาเครื่อง(Machine Languages)
  2. ภาษาแอสแซมบลี(Assembly Languages)
  3. ภาษาระดับสูง(High-level Languages)
  4. ภาษาระดับสูงมาก(Very High-level Languages)
  5. ภาษาธรรมชาติ(Natural Languages)
ภาษาเครื่อง : เป็นภาษาที่มีระดับต่ำที่สุด โดยจะเขียนด้วยระบบฐานสอง ซึ่งมีเพียง 0 กับ 1 เท่านั้น
ภาษาแอสแซมบลี : จัดเป็นภาษาระดับต่ำมาก ใช้ตัวย่อ หรือรหัสย่อในการเขียนโปรแกรม เช่น A คือรหัสของ Add , C คือ Compare เป็นต้น และตัวแปลภาษา Assembly คือ Assembler
คอมพิวเตอร์สามารถกระทำการ (Excute) ได้เฉพาะภาษาเครื่องเท่านั้น ดังนั้นหากเราเขียนด้วยภาษาใดๆ ก็ตามที่มิใช่ภาษาเครื่อง จะต้องใช้ตัวแปลภาษา(Translator) เพื่อแปลภาษาโปรแกรมที่เขียนให้เป็นภาษาที่เครื่อง เข้าใจ
ภาษาระดับสูง : เป็นภาษาโปรแกรมยุคที่ 3 ที่เป็นภาษาระดับสูงโปรแกรมจะเขียนในลักษณะคล้ายภาษาอังกฤษ ทำให้เขียนได้ง่ายขึ้น และสำหรับตัวแปลภาษาโปรแกรมเหล่านี้คือ คอมไพเลอร์ (Compiler) โดยคอมไพเลอร์จะทำหน้าที่แปล Souce Program ให้เป็น Oject Program โดยแปลครั้งเดียว ยกตัวอย่างภาษาโปรแกรมระดับสูงเช่น Fortran , Basic, pascal, C, Cobol
ภาษาระดับสูงมาก : เป็นภาษาโปรแกรมยุคที่ 4 ซึ่งเป็นภาษาระดับสูงมาก จัดเป็นภาษาไร้กระบวนคำสั่ง หมายความว่าผู้ใช้ เพียงบอกแต่ว่าให้คอมพิวเตอร์ทำอะไร โดยไม่ต้องบอกคอมพิวเตอร์ว่าสิ่งนั้นทำอย่างไร เรียกว่าเป็นภาษาเชิงผลลัพธ์ คือเน้นว่าทำอะไร ไม่ใช่ทำอย่างไร ดังนั้นจึงเป็นภาษาโปรแกรมที่เขียนง่าย
ภาษาธรรมชาติ : เป็นภาษาโปรแกรมยุคที่ 5 ซึ่งคล้ายกับภาษาพูดตามธรรมชาติของคน การเขียนโปรแกรมง่ายที่สุด คือการเขียนคำพูดของเราเองว่าเราต้องการอะไร ไม่ต้องใช้คำสั่งงานใดๆ เลย
ตัวอย่างภาษาในยุคต่างๆ ดังนี้
Fortran : ภาษาระดับสูงภาษาแรก เป็นภาษาโปรแกรมที่ใช้งานด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และด้านคณิตศาสตร์ ภาษาฟอร์เทนจะประกอบด้วยข้อความ คำสั่ง ทีละบรรทัด
Colbol : ภาษาโปรแกรมสำหรับธุรกิจ ที่มีลักษณะคล้ายกับภาษาอังกฤษ และที่สำคัญคือ เป็นภาษาโปรแกรมที่อิสระจากเครื่อง หมายความว่า โปรแกรมที่เขียนขึ้นใช้งานบนคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งเพียงแค่ปรับปรุงเล็กน้อยก็สามารถรันได้บนคอมพิวเตอร์อีกชนิดหนึ่ง
Basic : ภาษาโปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น เป็นภาษาโปรแกรมที่เรียนรู้ง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับใช้ในวงการศึกษา
Pascal : เป็นภาษาสำหรับการเรียนการสอนโดยเฉพาะ เป็นภาษาที่เขียนง่าย ใช้ถ้อยคำน้อย
Ada : ภาษามาตรฐาน ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย โปรแกรมเมอร์คนแรก คือ เคาต์ Add Lovelace เป็นภาษาที่ประสบความเร็จกับงานด้านธุรกิจ
C : ภาษาสมับใหม่ เป็นภาษาที่ใช้สำหรับเขียนโปรแกรมระบบปฎิบัติการ เหมาะสำหรับโปรแกรมเมอร์ที่มีความสามารถสูง
ALGOL : เป็นภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมด้านวิทยาศาสตร์
LISP : เป็นภาษาที่ใช้เมื่อประมวลผลด้านสัญลักษณ์, อักขระ,หรือคำต่างๆ ซึ่งเป็นการได้ตอบระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ ภาษานี้นิยมใช้เขียนโปรแกรมด้านปัญญาประดิษฐ์
Prolog : เป็นภาษาโปรแกรมสำหรับงานด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งแทนการใช้ภาษาLISP
PL/1 : เป็นภาษาที่เรียนรู้ง่าย ใช้งานทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และด้านธุรกิจ ดังนั้นภาษานี้จะมีขนาดใหญ่ มี option มาก
ALP : เป็นภาษที่เหมาะสมกับการทำตาราง มีสัญลักษณ์ต่างๆ มาก
Logo : เป็นภาษาย่อยของ lisp เป็นโปรแกรมสำหรับเด็ก มีการสนทนาโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ โดยใช้ "เต่า" เป็นสัญลักษณ์โต้ตอบกับคำสั่งง่ายเช่น forward, left
Pilot : เป็นภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้มากที่สุดในการเขียนโปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) เช่น งานเกี่ยวกับคำสั่ง ฝึกหัด การทดสอบ เป็นต้น
Smalltalk : เป็นภาษาเชิงโต้ตอบกับเครื่องคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยการจำ และการพิมพ์ เป็นภาษาที่สนับสนุนระบบคอมพิวเตอร์ภาพ เป็นภาษาเชิงวัตถุไม่ใช่เชิงกระบวนการ
Forth : เป็นภาษาสำหรับงานควบคุมแบบทันที เช่นการแนะนำกล้องดาราศาสตร์ และเป็นภาษาโปรแกรมที่มีความเร็วสูง
Modula-2 : คล้ายคลึงกับภาษาปาสคาล ออกแบบมาเพื่อให้เขียนซอฟต์แวร์ระบบ
RPG : เป็นภาษาเชิงปัญหา ออกแบบมาเพื่อใช้แก้ปัญหาการทำรายงานเชิงธุรกิจ เช่น การปรับปรุงแฟ้มข้อมูล

แหล่งอ้างอิง
 - http://www.pbps.ac.th/e_learning/combasic/com_languages.html
-  http://www.thaigoodview.com/node/50163